Tuesday, November 13, 2007

เมื่อใจผลิบาน



บทความโดย คุณครูสมพร รู้แสวง


หากเราก็กำลังเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานประจำ รู้สึกว่าเป็นวิถีชีวิตซ้ำรอยเดิมของการก้าวย่างพบความรู้สึกเดิมๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วต้องการสลัดความเหนื่อยล้านั้นบ้าง หากมีเวลาได้หยุดพักผ่อน วันเสาร์-อาทิตย์ จึงเป็นวันที่ฟ้ากำหนดให้เราได้ตื่นสาย ได้ทำอย่างอื่นที่อยากทำ นอกเหนือไปจากงานประจำ ใครหลายคนคงคิดเช่นนั้น ผมเองก็เหมือนกัน บางเวลาเราก็ต้องการปลุกจิตของเราให้สดชื่นแจ่มใสพร้อมเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ในสัปดาห์ต่อไป





แต่วิธีการเช่นนี้ผมก็รู้สึกว่าผมกำลังดำเนินวิถีชีวิตซ้ำรอยเดิมของวันเสาร์-อาทิตย์ ปล่อยเวลาให้ผ่านเลย โดยไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรมาก อันนี้ผมประเมินจากความรู้สึกเสียดายทุกครั้งเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ผ่านเลยไปเสียแล้ว


ผมคิดว่าวิธีการเติมใจให้เต็มของผมน่าจะต้องมีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วย เหมือนเช่นที่ผมเคยทำเมื่อคราวไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อยุธยา ความรู้สึกที่ว่าเหนื่อยกาย แต่อิ่มใจ ยังเป็นความรู้สึกที่ผมจำได้ดี และยังเคยชวนเพื่อนๆ ที่ทำงานจิตอาสาลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชาวบ้าน ผมอยากรู้ว่าวิถีชีวิตเขาดีขึ้นแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ได้ทำ




จนมาวันนี้ (๑๐ พ.ย. ๕๐)มีโครงการจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคตาที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ในโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ผมจึงเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร แม้ไม่รู้ว่างานจะหนักแค่ไหน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ผมก็รู้ว่าผมจะได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น




แค่คิด.. ผมก็เห็นรอยยิ้มในใจตนเองแล้ว คำว่าเหนื่อยกาย แต่อิ่มใจ กำลังจะกลับมาหาผมอีก






คณะจิตอาสาคราวนี้ รับรู้ร่วมกันว่าจะต้องไปทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคตา เราก็ได้สมาชิกพร้อมเดินทางจำนวน ๙ คน ประกอบด้วย คุณแม่ปุณฑาริกา คุณแม่ไวน์ ครูรัตน์และน้องแนน น้องแน็ต ลูกสาว ครูบี ครูหนู(จากอนุบาล) วันใหม่ และผม(ครูสมพร) มีพี่ถวิลเป็นพลขับ






พวกเราไปถึงโรงพยาบาลบ้านแพ้วตามเวลาที่กำหนด คือ แปดโมงครึ่ง แล้วขึ้นไปพบคุณชิว เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิฉือจี้ผู้ใจดี ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๕ อาคารสมเด็จย่า เราทักทายกันแบบรวบรัดแล้วคุณชิวก็แจกบัตรพนักงานให้พวกเราแยกตามสีของกลุ่มผู้ป่วย จากนั้นแจกเสื้อกั๊กของมูลนิธิให้พวกเราคนละตัว พร้อมกับอธิบายการทำงานคร่าวๆ ว่า “ ให้พวกเราไปเข้าสีตามกลุ่มผู้ป่วย ช่วยดูแล ซักถาม และช่วยเหลือเวลาเขาจะเข้าห้องน้ำ หรือนวดให้ผู้ป่วยก็ได้ ” นี่เป็นการอธิบายขั้นตอนการทำงานที่สั้นๆ แต่ก็ได้ใจความ เพราะสถานการณ์ตรงหน้าคุณชิวรวมถึงพวกเรา คือ ความชุลมุนของผู้ป่วยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ รวมถึงญาติผู้ป่วยด้วย

ผมได้รับมอบหมายให้อยู่กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว จึงเดินไปหากลุ่มสีเขียว สังเกตว่ากลุ่มนี้มีผู้ป่วยกี่คน ถามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดว่ามาจากไหน จึงได้รู้ว่ากลุ่มนี้ทั้งกลุ่มมาจากเพชรบุรี จากนั้นมีคนให้ผมไปช่วยอ่านเรียกขานชื่อผู้ป่วย แล้วแจกแฟ้มประวัติให้ไว้กับตัวผู้ป่วย ช่วงนี้สับสนมากในหมู่ผู้ป่วยและคนเรียกชื่อ สีแฟ้มกับรายชื่อไม่ตรงกัน ทั้งๆ ที่แบ่งสีตามประเภทผู้ป่วย ทำให้ผมรู้ว่ากลุ่มสีเขียวคือกลุ่มที่ต้องผ่าตัดต่อเนื้อ ส่วนสีอื่นก็เป็นต้อกระจกบ้าง ต้อหินบ้าง เท่าที่สังเกตบวกกับพูดคุยกับผู้ป่วยเองด้วย ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดมาจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้จัดระบบงานเอกสาร เวลาต้องแจกแฟ้มประวัติจึงค่อนข้างสับสน ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่มาจากหลายฝ่าย หลายหน่วยงาน เช่น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จากสโมสร

ไลอ้อน เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิฉือจี้ และอื่นๆ ที่ผมไม่รู้จัก


ส่วนพวกเราจะทำงานตามหน้างานที่ได้รับ และผมสังเกตว่าคณะของเรากระโจนเข้าหางานกันทุกคน โดยไม่ได้นัดหมาย ใครทำอะไรได้ก็ทำ ใครเห็นว่าควรทำอะไรก็ทำอย่างตั้งใจ แม้แนนกับแน็ต ลูกสาวครูรัตน์ก็ช่วยแม่เสิร์ฟน้ำบ้าง นวดให้ผู้ป่วยบ้าง หรือใช้พัดมือพัดให้ผู้ป่วยบ้าง ลักษณะงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วย เช่น จัดคิว คอยช่วยพยุงคนสูงอายุซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนสูงอายุ บริการน้ำดื่ม อาหารว่าง เช่น ขนม บริการนวดผ่อนคลายระหว่างผู้ป่วยนั่งรอนาน หรือแม้แต่บริการตัดเล็บให้ด้วย แต่ละภาพที่ผมเห็นล้วนสร้างความสุขใจให้ทั้งนั้น จนหลายครั้งต้องถ่ายภาพเก็บไว้


โดยเฉพาะสังเกตจากการทำงานของคณะชาวฉือจี้ จริงๆ รวมพวกเราด้วยเหมือนกัน ทุกคนจะยิ้มแย้มแจ่มใส คอยพูดจาให้ผู้ป่วยสบายใจ เพราะผู้ป่วยสูงอายุหลายคนเกิดอาการเครียดที่จะต้องผ่าตัด บางคนความดันขึ้นมากจนไม่สามารถผ่าตัดได้ ต้องนำกลับมาคอยพูดให้กำลังใจ ป้อนน้ำป้อนขนม ช่วงเวลาแบบนี้ ผมได้เห็นรอยยิ้มของจิตอาสาทุกคน โดยเฉพาะคุณชิว นับว่าเป็นครูที่ดีมาก คุณชิวจะปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน และก็ชวนให้พวกเราทำตาม โดยจะบอกให้พวกเรายิ้มก่อนเสมอ เช่น ก่อนจะเสิร์ฟน้ำก็ให้ยิ้มก่อน แล้วค่อยยื่นแก้วน้ำให้







อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ การรู้คุณค่าของน้ำที่นำมาให้ผู้ป่วย คุณชิวบอกว่า “ผู้ป่วยดื่มไม่เยอะ แต่ต้องดื่มบ่อย ดังนั้นเวลารินน้ำก็ให้รินพอประมาณ คือ หนึ่งในสามของแก้ว เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องเททิ้ง เป็นที่น่าเสียดาย” พวกเราทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารเที่ยงให้ผู้ป่วยจนครบทุกคนและรอให้รับประทานเสร็จ จึงช่วยเก็บและบริการน้ำ ล้างแก้ว เสร็จแล้วจึงบอกคุณชิวว่าเราจะไปทานข้าวเที่ยงกัน


ระหว่างทานข้าวเที่ยงก็มีคนนำน้ำสตอร์เบอรี่โซดามาเสิร์ฟให้พวกเรา โดยบอกว่าพี่ผู้หญิงฉือจี้คนหนึ่งเลี้ยงน้ำพวกเรา แต่ไม่บอกว่าชื่ออะไร พวกเรารู้สึกดีใจมาก ทานข้าวกันอย่างออกรสออกชาติ ระหว่างนี้แต่ละคนก็เริ่มอยากรู้ว่าใครเป็นใคร เพราะในตอนแรกเราแทบจะไม่ได้แนะนำตัวเองกันเลย ต่างคนต่างทำหน้าที่ ท้องอิ่มแล้วจึงค่อยถามกัน เด็กๆ สองคนก็สร้างสีสันให้วงกับข้าวดีไม่น้อย บรรยากาศเหมือนครอบครัวใหญ่ทานข้าวร่วมกัน เสร็จจากรับประทานอาหารเที่ยงพวกเราก็มาช่วยงานต่อ

แต่ช่วงบ่ายไม่ค่อยมีงานให้ทำมาก เหมือนตอนเช้า เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งเข้าห้องผ่าตัด ส่วนหนึ่งรออยู่ในห้องประชุมใหญ่ ส่วนที่ผ่าตัดเสร็จแล้วก็กลับมานอนพักผ่อนรวมกันบริเวณห้องประชุมแห่งนี้ พวกเราได้รับมอบหมายให้ไปสัมภาษณ์ผู้ป่วยตามแบบฟอร์มที่แจกให้ แล้วนำกลับมาให้คุณชิวๆ จะถามว่า มีใครที่มีชีวิตน่าสงสารมากๆ หรือเปล่า ในส่วนที่ผมสัมภาษณ์ก็เห็นว่ามีครอบครัวอบอุ่น เพราะคุณตาอยู่กับลูกสาวถึงสองคน แล้วก็มีหลานๆ ให้เลี้ยงอีกจึงไม่ค่อยเหงาอะไร

มีคำถามข้อสุดท้ายที่ถามว่า “คิดว่าอยากทำความดีอะไร” คุณตาท่านนั้นก็บอกว่า “ส่วนใหญ่ก็เข้าวัดทำบุญไม่ได้ขาดอยู่แล้ว” บางคนก็บอกว่า “อยากทำอย่างที่เราทำ คือช่วยเหลือคนอื่นให้เขาพ้นทุกข์”


ประมาณบ่ายสามโมงพวกก็ขอลากลับ เพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีงานให้ทำแล้ว จึงถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก คุณชิวก็มาร่วมถ่ายกับเราด้วย พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณและให้ข้อคิดกับพวกเราหลายอย่าง โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า


“ที่พวกเราทำวันนี้ เหมือนเป็นการสรงน้ำพระให้สะอาด เพราะผู้ป่วยเหมือนพระให้เราได้ทำความดี ทำให้เขาหายป่วยด้วย ทำให้ใจเราสะอาดด้วย” คุณชิวยังได้ขอชื่อพวกเรา พร้อมเบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อ หากต้องการร่วมงานกันอีก




ท้ายที่สุด ผมก็ได้ในสิ่งที่ผมตั้งใจก่อนจะมา ซึ่งไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย นั่นก็คือ “รอยยิ้ม” ที่ได้เห็นหัวใจผมผลิบานรับความดี “เหนื่อยกาย แต่อิ่มใจ”

------------------------------------------------------------------------------------------------





ครูอ้อคะ

เป็นกิจกรรมอาสาที่ดีมากมากค่ะ ไปแล้วประทับใจ ได้เจอผู้ร่วมทีมจากรุ่งอรุณที่น่ารัก และที่สำคัญ อาสาสมัครที่เราได้เจอก็น่ารัก และมีจิตใจดีมากๆ เป็นชาวใต้หวันที่มาทำงานนี้ด้วยใจจริงๆ เห็นทุกๆอย่างที่เค้าทำ แล้วให้ย้อนนึกถึงตัวเองค่ะว่า เราทำให้แม่เราที่บ้านอย่างนี้บ้างรึป่าว แต่เค้าซะอีก ที่ไม่ได้เป็นคนไทยเหมือนเรา แต่ทำได้ดียิ่งกว่าเราที่เป็นคนไทยด้วยกัน

ได้คำสอนจากคุณชิว มาปฏิบัติ และสอนลูกได้ด้วยค่ะ
ถ้าลูกของมดโตพอที่จะสามารถพาไปได้ รับรองว่าไม่พลาดแน่ๆค่ะ

ขอบคุณครูอ้อที่ส่งข่าวกิจกรรมดีดีแบบนี้มาให้นะคะ
วันนี้ (ถ้าไม่ลืม) จะเอากล้องไปให้ครูอ้อ ดึงรูปทั้งหมดที่คุณแม่ถ่ายมานะคะ

คุณแม่มด แม่น้องไม้หม่อน อนุบาล 1/3 ค่ะ