Tuesday, February 27, 2007

ดวงใจที่ไม่มีใครรู้จัก : ครูอดิเรก




ดวงใจที่ไม่มีใครรู้จัก
อดิเรก สมบัติวงค์

ในบุพพัณหสมัยใกล้สางของปลายเหมันตฤดู แสงสุริยาอ่อน ๆ กำลังแผ่ขยายส่องผ่านม่านหมอกใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความยะเยือกเย็นหนาวในนภากาศกำลังแผ่ซ่านไปทั่วโลกธาตุกำลังสดชื่นระรื่นรมณีย์ยิ่งนัก เมฆหมอกสีขาวราวปุยนุ่นปกคลุมไปทั่วพื้นพสุธาดังทิพยวิมานบนสรวงสวรรค์ หยาดน้ำค้างประดุจน้ำตาของกาลเวลาค่อย ๆ พรมพราวไปทั่วพื้นปฐพี พระพายพัดโชยโปรยประทิ่นกลิ่นสุคันธชาติของมวลบุปผาหอมหวลไปทั่วนภากาศ

ในเหมันตฤดูเช่นนี้ หลายคนคงนึกถึงที่นอนอันอ่อนนุ่มและผ้าห่มหนา ๆ บางคนคงนึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้ากำลังออกรับบิณฑบาต บางคนคงนึกถึงการตระเตรียมข้าวปลาอาหารสำหรับใส่บาตรพระสงฆ์ บางคนคงนึกถึงความสับสนวุ่นวายที่กำลังย่างกรายเข้ามาในชีวิต บางคนจะนึกถึงความดีงามที่จะบำเพ็ญเพียรต่อในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์และอยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาที่ให้ความสงบร่มเย็น บางคนคงนึกถึงการอ่านหนังสือดีๆ เล่มหนึ่งบนที่นอนอันอ่อนนุ่นละมุนละไมดังคนรู้ใจที่อยู่ใกล้ชิด บางคนคงนึกถึงการนอนคลุมโปรงสบายๆ ดูดดื่มกับความหอมหวานของกลิ่นไอธรรมชาติที่ขจรขจายไปตามสายลมทั่วสารทิศ บางคนคงนึกถึงเสียงดุเหว่าที่เร่าร้องอยู่บนปลายแมกไม้ใหญ่อยู่เจื้อยแจ้วแล้วบินจากไป บางคนนึกถึงปลาทูสักตัวที่มาประทังชีวิตของตนและสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน

ขณะที่ทุกคนต่างก็มีวัฏจักรของชีวิตผ่านวนเวียนเข้ามาในแต่ละวัน ได้มีครูกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มจิตอาสา ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งปล่อยเวลาอันมีค่าให้สูญหายไปดังสายหมอกที่กำลังสูญหายไปกับสายลม แม้ความห่วงหาอาทรในแสงศศิธรอันอ่อนหวานเย็นซาบซ่านเข้าไปในร่างกายและจิตใจมิอาจบั่นทอนความตั้งใจของพวกเขาได้แต่ประการใด พวกเขาได้ตื่นจากภวังค์แห่งการหลับสนิทประหนึ่งวิสัญญีได้อุทิศร่างกาย จิตใจ และเวลา นำพาตนไปฝึกฝนบนงานจิตอาสา ณ อำเภอเสนา อยุธยาเมืองเดิม
ข้าพเจ้าก็เป็นครูหนุ่มผู้หนึ่งที่มีจิตอาสาอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นที่มีความลำบากยากแค้นมากกว่าตน อยากให้เขามีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ จึงอาสาร่วมทีมงานไปกับครูผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรมและอาสาทำในครั้งนี้

เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้หวัดเนื่องจากอากาศเเปรปรวน แต่ด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ ข้าพเจ้าไม่เคยปรวนแปรพ่ายแพ้ให้กับโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเข้ามารังครวนแต่อย่างใด วินาทีนี้ ยาทิฟฟี่คือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่รู้ใจข้าพเจ้ามากที่สุด เมื่อทานเข้าไปก็เกิดอาการง่วงซึม แต่เดชะบุญที่เบาะท้ายรถตู้ว่างเปล่าสำหรับให้นอนพักผ่อนในยามนี้ ข้าพเจ้าจึงเอนกายลงบนเบาอ่อนนุ่ม กระเป๋าที่มีสีดำสำหรับใส่เสื้อผ้าไปเปลี่ยนคือหมอนอันวิเศษที่คอยรองรับศีรษะเหมือนคนรู้ใจที่คอยเอาใจใส่อยู่ใกล้ พอรถลงสะพานหรือตกหลุมคลื่นแต่ละครั้งแทบจะกระเด็นขึ้นลอยกระแทกหลังคารถ มาตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาถึงเคหสถานของตาสีและยายลิ้มราวกับฝัน

ภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าของข้าพเจ้า เป็นภาพของบ้านไม้เก่าๆ มุงด้วยสังกะสีที่ดารดาษไปด้วยสนิมสีน้ำตาลแก่ๆ เป็นบ้านยกพื้นสูง ๒ ชั้น ๒ ห้อง จำนวนเสา ๙ ต้น และมีบันไดหน้าผุพังใช้การไม่ค่อยได้ ส่วนบันไดด้านข้างก็ผุพังเช่นกัน แต่ยังใช้เดินขึ้นลงได้บ้าง มุขหน้าบ้านมีห้องน้ำชำรุดใช้การไม่ได้ ท่อส้วมที่ก่อขึ้นจากพื้นดินไปชั้น ๒ ของบ้านมีรูแตกขนาดใหญ่เหมือนถูกทุบด้วยค้อนปอนด์ ไม้คานของชานหน้าบ้านหักเอนลงมาด้านล่าง ถุนใต้บ้านเต็มไปด้วยถุงพลาสติกทั้งเก่าและใหม่เป็นจำนวนมาก มองขึ้นไปจากใต้ถุนบ้านเห็นช่องไม้ที่เชื่อมต่อกันไม่สนิทและช่องสำหรับขับถ่ายอาจม ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ตรงช่องนั้น กลิ่นอันไร้สุคันธรสของน้ำครำและน้ำมูตรเน่าฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ




บนบ้านมีร่างของคุณยายและคุณตาอายุราว ๘๐ ปีกำลังนั่งอยู่นิ่ง ๆ คุณยายเอาห่มสีเขียวปกคลุมสรีระร่างกายเอาไว้เพียงเพื่อบรรเทาความหนาวในยามนี้ ก้มหน้าไม่ยอมพูดจากับใคร ช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้ บางครั้งมีอาการผวาร้องขึ้นมาทันทีทันใด แต่เสียงนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความดีใจที่อยากจะพูดกับพวกเรา นัยน์ตาของข้าพเจ้าได้มองไปที่นัยน์ตาของคุณยายคนนั้น จ้องมองด้วยความสงสารประมาณครู่ใหญ่ แววตาที่เปล่งประกายออกมาบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่า เขาดีใจที่พวกเรามาเยี่ยมและช่วยเยียวยาร่างกาย จิตใจ และที่อยู่อาศัยของเขา ประกอบกับรอยยิ้มที่อยากจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรา

ส่วนคุณตาที่ไม่ค่อยพูดจาปราศรัยกับใครมานานหลายเพลา ลุกเดินไปมาได้ แต่จะอยู่เฉพาะบริเวณหลังบ้านที่กระดานแนบสนิทกันพอเดินได้สะดวก ขณะที่ข้าพเจ้ากวาดสายดูสภาพความเป็นอยู่ภายในบ้านกับหยากไย่ขาวดำผสมกลมกลืนกันเป็นยวงผูกพันกับพัดลมบนหลังคาบ้าน พื้นที่ของห้องบนบ้านเป็นห้องว่างเปล่าไม่มีสมบัติพัสถานอะไร มีเพียงเครื่องโทรทัศน์ขนาด ๒๑ นิ้วที่เปิดอยู่ แต่ไม่มีภาพ มีเพียงเสียงพอเป็นเพื่อนของคุณตาและคุณยายในบรรยากาศที่เหงาๆ เท่านั้น จานข้าวเก่าๆ คลุกด้วยผัดผัก ๑ ใบ มีช้อนส้อม ๑ คู่วางอยู่บนจาน เสมือนหนึ่งว่ามีคนเอามาวางไว้ให้คุณตาคุณยายได้รับประทานกัน ทราบภายหลังว่าข้าวจานนั้นเป็นข้าวที่ลูกๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นนำมาให้พอประทังชีวิต ดูแล้วช่างน่าอเน็จอนาถใจเสียเหลือเกิน

คุณตาและคุณยายมีลูก ๕ คน บ้านของลูกก็อยู่ติดกัน แต่เหตุไฉน เขาจึงไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลแม้กระทั่งพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตน ทั้งๆ ที่ทุกคนก็อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน ขยะมูลฝอยและถุงพลาสติกจากโรงงานย่างปลาดุกลานหน้าบ้านของคุณตาคุณยายที่ถมด้วยดิน ราดด้วยปูนซีเมนต์สูงกว่าบ้านประมาณ ๑ เมตร รวมทั้งน้ำล้างปลาและเครื่องในปลาดุกถูกชำระล้างไหลลงมารวมเป็นน้ำครำอยู่ใต้ถุนบ้านของคุณตาคุณยาย แมลงวันนับหมื่นตัวมากินเศษอาหารเป็นภัตตาคารอันโอชะ ในขณะที่กลิ่นเหม็นฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณบ้าน ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ขณะที่ข้าพเจ้ายืนคิดอยู่นั้น คณะครูผู้เปี่ยมไปด้วยจิตอาสาไม่ได้นิ่งนอนใจกับภาพบรรยากาศเช่นนั้น กลับมองเห็นขยะเป็นอสุภารมณ์ และมองเป็นสุนทรียภาพ รีบคว้าถุงมือพลาสติกสีส้มคนละ ๑ คู่ พร้อมด้วยถุงพลาสติกสีดำที่ตระเตรียมไปคนละใบ แล้วเก็บขยะและถุงพลาสติกใบแล้วใบเล่าก็ไม่มีวันลดลง มีทั้งขยะเปียกและแห้ง จึงหาทางกำจัดขยะเปียกโดยการฝัง เบื้องต้นหาพื้นที่โล่งบนลานข้างบ้านซึ่งต่ำมาก คิดว่าน่าจะขุดง่าย แต่ให้ตายเหอะพอจอบขุดปักลงไปในดิน ๒ – ๓ หน จอบเกิดอาการท้อแท้ยอมจำนนกับดินที่แข็งราวกับหิน ต้องหักงอลงทันใด จึงหาที่ขุดใหม่
จนได้ที่เหมาะน่าจะขุดง่าย เลยปักจอบขุดลงไป แต่ดินก็แข็งไม่แพ้ไปกว่าหลุมแรก พอขุดลงไปได้ ๑ ฟุต ดินที่แข็งก็เปลี่ยนเป็นชั้นทรายเลยขุดง่าย ขุดลงไปราว ๑.๕ เมตร ชั้นน้ำเริ่มซึมออกมาตามหน้าดิน มดงานไม่ยอมหยุดต่างก็ช่วยขุดเอาขยะจากร่องน้ำมาลงหลุมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสนุกสนาน มีการพูดคุยกันตลกเฮฮาบ้าง บางทีก็ต้องเอามือเก็บถุงพลาสติกจากร่องน้ำครำ

ขณะที่ลูกสาวของเจ้าของบ้านผู้ทิ้งขยะเหล่านี้กลับยืนดูอย่างเพิกเฉยทอดทิ้งธุระไปแบบมิใช่หน้าที่ ลุงทองหล่อซึ่งเป็นช่างจากพื้นที่อำเภอบางบาลมาช่วยงานพวกเราได้ถามข้าพเจ้าว่า “ครูต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ” ข้าพเจ้านึกในใจสักพักแล้วตอบไปแบบเร้ากุศลว่า “ เราทำแล้ว เราได้ขัดเกลาใจตน ทำแล้วสบายใจ ก็ควรจะทำ" ทันใดนั้นลุงทองหล่อก็รีบยกมือทั้ง ๒ ข้างพร้อมกับอนุโมทนาสาธุกับกุศลเจตนาของครูทุกท่าน ข้าพเจ้าก็รีบยกมือสาธุกับคุณลุงไปด้วย แล้วต่างคนต่างก็ทำงานต่อไปด้วยความเบิกบาน

ในขณะที่เก็บขยะปฏิกูลอยู่นั้น หยาดเหงื่อก็ไหลออกมาตามรูขุมขนผสมผสานกับน้ำครำที่กระเซ็นมาเกาะตามมือและเท้าแทบแยกแยะไม่ออกว่า อันไหนคือกลิ่นเหงื่อ อันไหนคือกลิ่นน้ำครำ อันไหนคือกลิ่นขยะ รู้เพียงอย่างเดียวว่า บัดนี้ พวกเราได้ถอดเกราะของความเป็นครูมาเป็นเทศกิจผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก

ถุงพลาสติกก็ค่อยๆ หายไปในหลุมขนาดใหญ่ บางส่วนที่แห้งก็ถูกบรรจุลงไปในถุงดำประมาณ ๓๐ ถุงใหญ่ และแล้วความสะอาดโล่งเตียนของบริเวณบ้านของคุณตาสีและคุณยายลิ้มก็กลับคืนสู่ความเป็นบ้านอันน่าอยู่อีกครั้งหนึ่ง

แมลงวันที่ตอมขยะเน่าเสียก็ค่อยๆ บินหายไปทีละตัวสองตัว กลิ่นอันไร้ความหอมหวนกลับมีสุคันธรสชาติ ภาพแห่งขยะแขยงที่เคยปรากฏแก่สายตาของพวกเรามาบัดนี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของพวกเราก็มลายหายไปพร้อมกับขยะเสมือนหนึ่ง พวกเราได้ขัดเกลาใจตนไปพร้อมกับการขจัดขยะกองมหึมาให้มลายหายไปด้วยสองมือและหนึ่งดวงใจที่พวกเราได้หลอมกันเป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจแห่งธรรมชาติก็ได้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง


ก่อนจะเดินทางกลับ ข้าพเจ้าได้ปลีกตัวไปเยี่ยมคุณตาแกละพร้อมกับนำเสื้อสีเหลืองของในหลวงไปฝากคุณตาด้วย คุณตามีอายุ ๘๖ ปี อาศัยอยู่บ้านเก่าๆ ลำพังเพียงคนเดียว บ้านของคุณตาจะอยู่ห่างจากบ้านของคุณตาสีและคุณยายลิ้มประมาณ ๑๐๐ เมตร ขณะที่ข้าพเจ้าไปถึงได้พบคุณตาแกละหย่อนเท้าทั้ง ๒ ข้างลงมาตามขั้นบันไดเหมือนจะรู้ว่ากำลังจะมีคนมาเยี่ยม ขณะเดียวกันก็มีสุนัข ๓ ตัว คอยอารักขาอยู่ใกล้ชิด

พอข้าพเจ้าปรากฏกายขึ้น คุณตายิ้มแย้มเหมือนมีญาติมาเยี่ยมพร้อมกับทักทายด้วยความเป็นกันเองกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายืนคุยกับคุณตาอยู่ตรงบันไดหน้าบ้านได้สักพักหนึ่ง คุณตาก็เชิญขึ้นมาบนบ้าน พร้อมกับขังสุนัขไว้ระเบียงหน้าบ้านด้วยกระดานไม้อัดเก่าๆ และไม้ไผ่ ๒ ลำ ตอกตะปูกันเอาไว้ ปกติคุณตาจะไม่ยอมให้ใครขึ้นมาบนบ้าน เพราะเคยมีคนมาขโมยมาลักของ ดังนั้นจึงเลี้ยงสุนัขเอาไว้เพื่อป้องกันขโมยขึ้นบ้าน แต่คุณตาคงคุ้นเคยกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดีจึงเชิญข้าพเจ้าขึ้นไปบนบ้าน ข้าพเจ้าไปช่วยหายาทาแก้ปวดแล้วเอามานวดตามลำแข้งของคุณตาที่เมื่อยล้าอยู่หลายวัน ขณะที่ข้าพเจ้านวดไป คุณตาก็จะถามสารทุกข์สุขดิบไปด้วย

ข้าพเจ้ามองเห็นเล็บมือและเล็บเท้าของคุณตายาวและดำมาก ข้าพเจ้าเลยขออนุญาตตัดให้ คุณตาก็ลุกขึ้นไปเอากรรไกรตัดเล็บพร้อมกับยื่นมาทีละข้าง เล็บของคุณตาหนามากและมีดินสีดำติดอยู่ตามซอกของเล็บ ข้าพเจ้าตัดด้วยความประณีตระมัดระวังที่สุด เพราะกลัวเล็บฉีก ข้าพเจ้าถามคุณตาว่า ไม่ได้ตัดเล็บนานหรือยัง คุณตาตอบว่านานแล้ว ตัดเองไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยมีแรง ถ้าจะตัดทีก็ต้องค่อยๆ ตัด แต่ตัดแล้วเล็บก็ฉีก จึงไม่อยากตัด จะไม่ให้ฉีกได้ยังไงครับ ก็ในเมื่อเล็บของคุณตายาวและหุ้มหนังปลายเล็บไปราว ๑ ซม. แล้วก็แข็งเสียด้วย มาบัดนี้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้แม้กระทั่งแต่งเล็บของคนแก่ได้อีกด้วย แต่ยังไม่ถึงกับมืออาชีพ

จากนั้น ก็ขออนุญาตให้กับคุณตา ตอนแรกคุณตาก็รู้สึกเกรงใจข้าพเจ้ามาก อ้างว่าน้ำเย็นบ้าง เกรงใจบ้าง ข้าพเจ้าบอกกับคุณตาว่า ไม่ต้องเกรงใจคิดเสียว่าเป็นลูกหลานของคุณตาคนหนึ่ง ตอนนี้แหละคุณตาก็รีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า นุ่งกางเกงเลเก่าๆ มานั่งอยู่ตรงบันไดด้านข้างของบ้าน ข้าพเจ้ายกมือไหว้ขอขมาโทษพร้อมกับตักน้ำราดไปบนร่างกายของคุณตาพร้อมกับลูบไล้ด้วยสบู่ตรานกแก้วสีเขียว อาบอยู่ ๓ รอบ จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูสีเหลือง (พระสงฆ์จากวัดท่านให้คุณตามา) มาเช็ดตัวให้พร้อมกับเปลี่ยนกางเกงเลเป็นผ้าขาวม้าลายสก๊อต คุณตารีบขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับนุ่งกางเกงสีกากีและเสื้อกล้ามสีขาวมาใส่ ดูแล้วคุณตาดูหล่อเหลาขึ้นมาก แม่ค้าที่นั่งขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าบ้านคอยแซวเป็นระยะ

เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ได้ขอซักเสื้อแขนยาว ๒ ตัว และกางเกงเลที่คุณตานุ่งอาบน้ำ ต้องซัก ๔ น้ำแฟ๊บและล้างน้ำเปล่าอีก ๓ น้ำ จึงนำไปตากบนราวระเบียงหน้าบ้าน เสื้อผ้าของคุณตามีฝุ่นเยอะมากต้องซักหลายรอบจึงจะสะอาด เมื่อข้าพเจ้าตากผ้าเสร็จจึงไปนั่งคุยกับคุณตาต่อ


ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้แวะเวียนไปเยี่ยมคุณตา คุณตาจะดีใจมาก สังเกตได้จากรอยยิ้มการพูดจาถามไถ่ และการขอให้อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนาน ๆ จากการที่พวกเราชาวจิตอาสาลงไปในพื้นที่ทุกครั้ง มักจะมีเรื่องดีๆ ที่ได้เรียนรู้และทำกันอยู่มิขาดสาย มีทั้งงานการฟื้นฟูทางจิตใจ การเยียวยารักษาโรคและการนำตัวส่งโรงพยาบาล การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย การสอนวิชาชีพเย็บปักถักร้อย การปลูกพื้นสวนครัว ฯลฯ มีความเหน็ดเหนื่อยเป็นบางครั้ง แต่ทุกอย่างสอนให้เรารู้จักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณของความใฝ่รู้กอปรด้วยเมตตาจิต เป็นการอบรมบ่มเพาะและขัดเกลาใจตนบนพื้นฐานของงานอาสาสมัคร ความทระนงหลงตัวเองค่อยๆ ลดลงทีละเล็กทีละน้อย ความหยิ่งผยองยโสโอหังว่า ตนมีฐานะเป็นครูผู้สอนหนังสืออันเป็นพันธนาการทางความคิดได้ถูกถอดออกไปด้วย มาบัดนี้พวกเราได้ดำเนินตามรอยวิถีของครูไทยในครั้งอดีตที่มีจิตวิญญาณอุทิศตนเพื่อผู้อื่นปราศจากเงื่อนไขของเงินตราและผลประโยชน์ส่วนตน และทำได้ทุกอย่างบนพื้นฐานความดีงาม เพื่อจรรโลงโลกใบนี้ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็นตลอดจิรัฏฐิติกาล…

No comments: